ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นมโคกับนมแม่ อย่างไหนดีกว่ากัน





นมโคกับนมแม่ อย่างไหนดีกว่ากัน


          เนื้อเยื่อของเต้านมกับรกจะคล้ายกัน และคล้ายกับต่อมเหงื่อ เต้านมจึงรับสาร
อาหารจากเลือด เปลี่ยนเป็นน้ำนมให้ลูกดูดกิน ถ้าลูกกินน้ำนมอย่างเดียวก็จะทำให้
เติบโตได้ และยิ่งหลังคลอดแล้วน้ำนมที่หลั่งออกมาจะมีแคโรทีนมากกว่าน้ำนม
ธรรมดาถึงสิบเท่า อุดมไปด้วยโปรตีน เม็ดเลือดขาว น้ำตาล และแอนติบอดี ช่วย
เพิ่มภูมิต้านทานลูก เมื่อลูกดูดนม สมองของแม่จะหลั่งโพรแลกติน เพื่อกระตุ้นให้
ต่อมน้ำนมหลั่งน้ำนมออกมาเพิ่มขึ้น นมแม่มีสารที่เป็นประโยชน์เหมาะกับการเจริญ
เติบโตของเด็กมากที่สุด
        หากเปรียบเทียบกับนมโคแล้ว ถึงแม้นมแม่จะมีโปรตีนน้อยกว่านมโค แต่มีกลู
โคสและแล็กโทสมากกว่านมโค 2 เท่า แล็กโทสในนมแม่ เป็นสารอาหารที่ให้
พลังงาน ช่วยให้ร่างกายนำแคลเซียมมาใช้ และเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับสมอง
ส่วนไขมันในนมแม่มีความเข้มข้นใกล้เคียงกับนมโค แต่ส่วนประกอบจะแตกต่างกัน
นมแม่จะมีกรดไขมันจำเป็นบางชนิดที่ร่างการสังเคราะห์ไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร
จากกรดไขมันไลโซไซม์ ในนมแม่สามารถทำลายผนักเซลล์ของแบคทีเรียและไวรัส
บางชนิด กรดไขมันนนมแม่จำเป็นสำหรับการเจริญของดวงตา สมอง และปลาย
ประสาท จึงทำให้นมกระป๋องต่าง ๆ ต้องเติมกรดไขมันจากปลาลงไปทดแทน

          สารภูมิต้านทานในนมโคจะถูกทำลายจากกระบวนการผลิต แต่นมแม่มีสาร
ภูมิต้านทานอย่างแกมมา อินเตอร์เฟอรอน ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นการทำงานของ
เม็ดเลือดขาว รวมทั้งเซลล์ภูมิคุ้มกัน

           เด็กที่กินนมแม่จะมีอัตราการเกิดโรคของทางเดินอาหาร ระบบหายใจลดน้อย
ลง และไม่ต้องทุกข์ทรมานจากอาการท้องเสียหรือท้องผูก เมื่อโตขึ้นโอกาสป่วย
ด้วยโรคอ้วน โรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้จะลดน้อยลง เนื่องจากร่างกายดูดซึม
โปรตีนและสารอาหารต่าง ๆ ในนมแม่ได้อย่างเต็มที่ อุจจาระของทารกที่กินนมแม่
จึงมีไม่มากและไม่เหม็น

           เราเห็นประโยชน์ของนมแม่แล้ว ควรหันมาให้ลูกกินนมแม่แทนนมโคกันนะค่ะ


วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อาการอะไรบ้างที่บ่งบอกว่าตั้งครรภ์




             เมื่อมีการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่สังเกตได้ด้วยตัวของเราเอง
เริ่มจากการสังเกตการขาดประจำเดือน ดังนี้

              1.  หากมีประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุกเดือน ต่อมาประจำเดือนขาดหายไปเป็นเวลา 1
เดือน โอกาสที่จะตั้งครรภ์เป็นไปได้มาก
             
              2. ถ้าคุณคุมกำเนิดแล้วเลิก จากนั้นประจำเดือนมาแล้วหายไปเกิน 1 เดือน เป็นไปได้
มากที่จะเกิดการตั้งครรภ์

              3. หากมีการร่วมเพศในระยะไข่สุก ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ ต่อมามีการขาดประจำ
เดือนก็ให้สงสัยว่ามีการตั้งครรภ์

              4. ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ของหญิงที่ตั้งครรภ์นั้น มีอาการคลื่นไส้ แพ้ท้อง อาจจะ
ร่วมกับอาเจียน และมักเป็นตอนเช้า แต่หญิงบางคนมีอาการแพ้ท้องในตอนเย็น มักมีอาการ
เมื่อประจำเดือนขาดประมาณ 1 เดือน และจะหายไปเมื่ออายุครรภ์ได้ 3 เดือนขึ้นไป

              5. เต้านมแข็ง เต่งคัด และกดเจ็บ หัวนมมีสีคล้ำและขยายใหญ่ขึ้นเนื่องจากฮอร์โมน
เมลาโตนินที่ควบคุมการสร้างสีผิว

             6.  มีความรู้สึกเหมือนมีทารกดิ้นอยู่ในครรภ์
        
             7. ปวดปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมีเลือดหมุนเวียนเพิ่มขึ้น รวมทั้งมดลูกที่มการขยายโต
ไปกดกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้มีการปัสสาวะบ่อย

             8. สภาวะอารมณ์เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิด ใจร้อน โกรธง่าย

             9. อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อยากนอน อยากพัก โดยเฉพาะใน 3 เดือนหลังจาก
รอบเดือนขาดหายไป

            10 ตรวจพบฮอร์โมนเอชซีจี ที่รกสร้างขึ้น โดยนำแผ่นทดสอบสำเร็จรูป ทำการทดสอบใน
ปัสสาวะตอนเช้า ตรวจพบได้ตั้งแต่ประจำเดือนขาดหายไป 7-10 วัน ซึ่งบอกได้แน่นอนว่ามีการ
ตั้งครรภ์จริง

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำไงดีอยากได้ลูกชาย




        สามีภรรยาหลายต่อหลายคู่ ที่ต้องการกำหนดเพศของลูกว่าอยากได้ลูกเป็นชายหรือหญิง มีหลายคนใช้
วิธีบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้ลูกชาย หรือลูกสาว  วิธีการเลือกเพศได้หลายทาง แต่วิธีที่ได้ผลดีที่สุด
100 เปอร์เซ็นต์ คือการเลือกอสุจิที่จะไปปฏิสนธิ ซึ่งตัวอสุจิที่เป็นเพศหญิงจะมีขนาดใหญ่ หัวโตกว่า และมี
จำนวนน้อยกว่า แต่อายุยืนกว่าเพศชาย หากต้องการให้ได้อสุจิที่เป็นเพศชาย ควรปฏิบัติตัวในการร่วมเพศ
ดังนี้

1.  เลือกวันมีเพศสัมพันธ์ใกล้ระยะไข่สุกให้มากที่สุดและมีต่ออีก 2-3 ติดกัน
2.  ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ควรล้างช่องคลอดด้วยโซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำครึ่งลิตร เพื่อปรับให้
ช่องคลอดมีสภาพเป็นด่าง เพื่อรักษาอสุจิเพศชายที่ไม่ทนกรด
3.  การสอดอวัยวะเพศเวลาหลั่งน้ำอสุจิ ให้อสุจิอยู่ลึกใกล้ปากมดลูก ซึ่งมีสภาพเป็นด่างตามธรรมชาติ ตัวอสุจิ
เพศชายที่ตัวเล็กว่ายเร็วจะไปเจอไข่ได้ก่อนตัวอสุจิเพศหญิง
4.  ภรรยาควรมีความรู้สึกสุดยอดให้มีการหลั่งเมือกที่เป็นด่างออกมาเหมาะกับอสุจิเพศชาย

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ก่อนการตั้งครรภ์ต้องเตรียมตัวอย่างไร?






            วัยเจริญพันธุ์ในทางธรรมชาติของผู้หญิงทั่วไป ที่เหมาะสมสำหรับเริ่มการตั้งครรภ์
คืออายุ 20-30 ปี เพราะร่างกายสมบูรณ์ที่สุด หากเกิน 35 ปี จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม
เพื่อดูความผิดปกติ เช่น เจาะน้ำคร่ำในครรภ์ เพื่อตรวจดูโครโมโซม และควรปรึกษาว่า
ต้องทำอย่างไร

             การเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์

1. ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์เพื่อขอคำแนะนำ ตรวจสภาพทั่วไปและสภาพภายใน
ช่องท้องของระบบสืบพันธ์ ในกรณีที่มารดาเป็นโรคไทรอยด์ หรือเป็นโรคลูปัส อาจตั้ง
ครรภ์ได้ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
2. ควรตรวจโรคต่าง ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ควรตรวจดูภูมิคุ้มกันต่อหัดเยอรมัน
ควรฉีดก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 3 เดือน เนื่องจากหากตั้งครรภ์แล้วไม่สามารถฉีดได้
3. ควรตรวจสอบว่าในครอบครัวมีโรคทางพันธุกรรมอะไรบ้าง เช่น โรคเบาหวาน ธาลัสซีเมีย
เพื่อดูความเป็นไปได้ว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับลูกของคุณ
4. ตรวจภายในดูระบบการสืบพันธ์  หากมีการอักเสบ เนื้องอกหรือมะเร็งของมดลูกหรือรังไข่
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์
5. หากมีการกินยาต่อเนื่องควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรักษาโรคเรื้อรัง ยาที่ควรระวังในอันที่จะมี
ผลต่อเด็กในครรภ์ เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาระงับประสาท ซึ่งแพทย์จะเปลี่ยนยาที่เหมาะสม
ให้ก่อนการตั้งครรภ์
6. ตรวจสุขภาพเหงือกและฟัน ซึ่งระหว่างตั้งครรภ์อาจจะมีอาการอักเสบได้ง่าย จึงควร
เตรียมสภาพให้ดีก่อนตั้งครรภ์ เพื่อลดปัญหาสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์
7. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  เพื่อไม่ให้เด็กมีปัญหาเรื่องขาดสารอาหาร หากผอม
หรืออ้วนจนเกินไป ควรแก้ไขก่อนการตั้งครรภ์
8. เลิกยาเสพติดทุกชนิด รวมทั้งปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งจะส่งผลต่อเด็กจะทำให้ได้รับ
ออกซิเจนไม่เพียงพอ
9. ลดปริมาณกาเฟอีนจากน้ำชาและกาแฟ  ควรกินวันละ 1 แก้ว ซึ่งหากกินมากจะส่งผลต่อ
ปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ เซลล์เหี่ยวลง ผิวหนังแห้งขึ้น
10. หยุดสูบบุหรี่ทั้งแม่และพ่อ เพราะนิโคตินเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหดเล็กหรือตีบและ
เกร็ง ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดลดลง ซึ่งจะทำให้ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนน้อยลง
11.หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีมลภาวะเป็นพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ก๊าซที่มีโทษต่อร่างกาย เพราะ
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนน้อยลงทั้งน้าน

          หากปฏิบัติตามจะทำให้ลูกของคุณมีพัฒนาการที่เป็นปกติในครรภ์ เพราะได้เตรียม
ความพร้อมเพื่อให้ลูกเกิดมาในสภาพที่คุณเตรียมเอาไว้อย่างดี